ในประวัติศาสตร์โลกมีเหตุการณ์น่าสนใจมากมายที่ถูกบันทึกไว้ หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยได้รับการทาบทามให้ก้าวเข้าสู่บทบาททางการเมืองในฐานะประธานาธิบดีของประเทศอิสราเอล เรื่องราวนี้อาจไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก แต่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์และการเมืองในช่วงเวลาที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลง
จากนักวิทยาศาสตร์สู่การเมือง
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (14 มีนาคม ค.ศ. 1879 – 18 เมษายน ค.ศ. 1955) เป็นที่รู้จักทั่วโลกในฐานะนักฟิสิกส์ทฤษฎีผู้ปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ซึ่งเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของมนุษยชาติเกี่ยวกับเวลา พลังงาน มวล และแรงโน้มถ่วง ผลงานของเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จทางปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ และทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของอัจฉริยภาพและความคิดสร้างสรรค์
ไอน์สไตน์เกิดในครอบครัวชาวยิวในประเทศเยอรมนี อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคนาซีภายใต้การนำของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจในเยอรมนีในปี 1933 และเริ่มนโยบายกดขี่ชาวยิว ไอน์สไตน์ตัดสินใจลี้ภัยออกจากประเทศบ้านเกิดและย้ายไปยังสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเขาได้รับสัญชาติอเมริกันในปี 1940 และทำงานที่สถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูง (Institute for Advanced Study) ในเมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์
การก่อตั้งประเทศอิสราเอล
หลังจากความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (Holocaust) ความพยายามในการสร้างรัฐของชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น จนในที่สุด เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 ประเทศอิสราเอลได้ถูกประกาศจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีเดวิด เบน-กูเรียน (David Ben-Gurion) เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก และชาอิม ไวซ์มัน (Chaim Weizmann) เป็นประธานาธิบดีคนแรก
การก่อตั้งรัฐอิสราเอลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากประเทศอาหรับโดยรอบ และความขัดแย้งกับชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้นมาก่อน นอกจากนี้ รัฐเกิดใหม่อย่างอิสราเอลยังต้องการการยอมรับทางการทูตจากนานาประเทศทั่วโลกเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการมีอยู่ของตน
ตำแหน่งว่าง: การแสวงหาผู้นำคนใหม่
เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1952 เมื่อประธานาธิบดีไวซ์มันเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทำให้ตำแหน่งประมุขของรัฐอิสราเอลว่างลง เดวิด เบน-กูเรียน ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นตระหนักดีว่า ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปต้องเป็นบุคคลที่ไม่เพียงแต่ได้รับการยอมรับจากประชาชนอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศเกิดใหม่ในเวทีนานาชาติด้วย
ด้วยเหตุนี้ สายตาของเบน-กูเรียนจึงมุ่งไปที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกผู้มีเชื้อสายยิว ซึ่งในขณะนั้นมีอายุ 73 ปี และเป็นที่เคารพนับถือไปทั่วโลก การมีไอน์สไตน์เป็นประธานาธิบดีจะเป็นการส่งสัญญาณถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของอิสราเอล และอาจช่วยให้ประเทศได้รับการยอมรับมากขึ้นในประชาคมโลก
การทาบทามไอน์สไตน์
เบน-กูเรียนตัดสินใจติดต่อไอน์สไตน์ผ่านแอ็บบา อีแบน (Abba Eban) เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น โดยมอบหมายให้อีแบนทาบทามไอน์สไตน์อย่างเป็นทางการให้พิจารณารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งรัฐอิสราเอล
ข้อเสนอนี้มาพร้อมกับเงื่อนไขสำคัญคือ หากไอน์สไตน์ตอบรับ เขาจะต้อง:
- สละสัญชาติอเมริกันที่ถือครองอยู่
- รับสัญชาติอิสราเอล
- ย้ายถิ่นฐานจากสหรัฐอเมริกาไปยังอิสราเอล
- ปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีในฐานะประมุขของรัฐ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลเข้าใจดีถึงความสำคัญของงานทางวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์ จึงยืนยันว่าถึงแม้จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ไอน์สไตน์ก็จะยังคงสามารถทำงานวิจัยและมีส่วนร่วมในวงการวิทยาศาสตร์ได้เช่นเดิม โดยรัฐบาลสัญญาว่าจะสนับสนุนการทำงานวิจัยของเขาอย่างเต็มที่
การปฏิเสธของไอน์สไตน์
แม้จะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการทาบทาม แต่หลังจากการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไอน์สไตน์ได้ตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว โดยมีเหตุผลหลายประการที่ทำให้เขาเชื่อว่าตนเองไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้:
- อายุและสุขภาพ: ในวัย 73 ปี ไอน์สไตน์มองว่าตนเองมีอายุมากเกินไปที่จะเริ่มต้นอาชีพใหม่ในวงการการเมือง โดยเฉพาะในประเทศที่เพิ่งก่อตั้งและเต็มไปด้วยความท้าทาย
- ความผูกพันกับสหรัฐอเมริกา: ไอน์สไตน์ได้ใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1933 และกลายเป็นพลเมืองอเมริกันในปี 1940 เขาได้สร้างรากฐานชีวิตและพัฒนาความผูกพันกับประเทศนี้เป็นเวลาเกือบ 20 ปี การที่จะต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้เพื่อย้ายไปยังดินแดนที่ไม่คุ้นเคยจึงเป็นสิ่งที่เขาไม่ปรารถนา
- ขาดประสบการณ์ทางการเมือง: ไอน์สไตน์ตระหนักดีว่าตนเองไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ทางการเมืองที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้นำประเทศ แม้ตำแหน่งประธานาธิบดีของอิสราเอลจะเป็นตำแหน่งที่มีบทบาทเชิงสัญลักษณ์เป็นหลัก แต่ก็ยังต้องการความเข้าใจในระบบการเมืองและความสามารถในการเป็นผู้นำ
- การอุทิศตนให้กับงานวิทยาศาสตร์: ไอน์สไตน์ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ต่อไป และกังวลว่าหน้าที่ทางการเมืองอาจทำให้เขาไม่สามารถทุ่มเทให้กับงานวิจัยได้อย่างเต็มที่
ในจดหมายตอบปฏิเสธถึงรัฐบาลอิสราเอล ไอน์สไตน์ได้กล่าวอย่างสุภาพและถ่อมตนว่า “ผมรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณอย่างยิ่งต่อข้อเสนอของรัฐบาลอิสราเอล แต่ผมต้องขอปฏิเสธและขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ผมขาดทั้งความสามารถและประสบการณ์ในการบริหารจัดการคน”
ประธานาธิบดีคนที่สอง
เมื่อไอน์สไตน์ปฏิเสธข้อเสนอ ตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่สองของอิสราเอลจึงตกเป็นของยิตซัก เบน-ซวี (Yitzhak Ben-Zvi) นักการเมืองที่มีประสบการณ์และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งรัฐอิสราเอล เบน-ซวีดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นเวลายาวนานถึงเกือบ 11 ปี ตั้งแต่เดือนธันวาคม 1952 จนถึงเมษายน 1963 และเป็นที่รักของประชาชนชาวอิสราเอลเป็นอย่างมาก
มรดกของไอน์สไตน์กับอิสราเอล
แม้จะปฏิเสธตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไอน์สไตน์กับอิสราเอลยังคงแน่นแฟ้น ไอน์สไตน์เป็นผู้สนับสนุนการก่อตั้งรัฐอิสราเอลมาตั้งแต่ต้น และยังคงสนับสนุนการสร้างมหาวิทยาลัยฮีบรูเยรูซาเล็ม (Hebrew University of Jerusalem) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยชั้นนำของอิสราเอล
ในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยฮีบรูยังเป็นที่เก็บรักษาเอกสารและข้อมูลส่วนตัวของไอน์สไตน์ รวมถึงลิขสิทธิ์ในผลงานของเขา หลังจากที่ไอน์สไตน์ได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับมหาวิทยาลัยในพินัยกรรม แสดงให้เห็นถึงความผูกพันที่เขามีต่อรัฐอิสราเอลและชาวยิวทั่วโลก
บทสรุป
เรื่องราวของการที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกือบได้เป็นประธานาธิบดีอิสราเอลเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์ การเมือง และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม การตัดสินใจของไอน์สไตน์ที่จะปฏิเสธตำแหน่งสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในตนเองและการตระหนักถึงขอบเขตความเชี่ยวชาญของตน
แม้จะไม่ได้ก้าวเข้าสู่บทบาททางการเมือง แต่อิทธิพลของไอน์สไตน์ต่อโลกและต่อรัฐอิสราเอลยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ มรดกทางปัญญาของเขาไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อวงการวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับมนุษยชาติในการแสวงหาความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาลของเรา